หน้าโทรม
หน้าโทรม ผิวหมองคล้ำ ดูไม่สดใส มักเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยในคนที่พักผ่อนน้อย มีความเครียดสะสม ยิ่งเป็นวัยหนุ่มสาวที่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือในคนที่ต้องเผชิญกับแสงแดด มลภาวะอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็จะมีอัตราความเสี่ยงสูงที่จะทำให้หน้าโทรมจนเป็นสาเหตุทำให้ดูแก่กว่าวัย ไม่สดใสครับ
สำหรับใครที่มีปัญหาหน้าโทรม ดูไม่สดใสจนขาดความมั่นใจ ในบทความนี้หมอมีวิธีดูแลไม่ให้หน้าโทรมมาแนะนำครับ ทั้งวิธีที่ต้องพึ่งหัตถการทางการแพทย์ที่เห็นผลแบบเร่งด่วน มีความปลอดภัย และวิธีกู้หน้าโทรมแบบง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงข้อสงสัยที่ว่า สาเหตุที่ทำให้หน้าโทรม มีอะไรบ้าง? สวมหน้ากากอนามัย ทำให้หน้าโทรมได้อย่างไร? วิธีป้องกันไม่ให้หน้าโทรม มีอะไรบ้าง? ติดตามอ่านได้ครับ
สาเหตุที่ทำให้หน้าโทรม
- นอนดึก พักผ่อนน้อย : การนอนดึก พักผ่อนน้อย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าโทรม ดูหมองคล้ำ ผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอย เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เป็นฮอร์โมนความเครียด ออกมาย่อยสลายคอลลาเจนและโปรตีนที่มีส่วนในเรื่องผิวพรรณทำงานลดลง ส่งผลให้หน้าดูแก่กว่าวัย
- ความเครียด : ความเครียดเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่เป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าโทรมโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Cortisol ออกมามากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล เซลล์ผิวใหม่สร้างขึ้นได้ช้าลงส่งผลให้หน้าแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ทำให้มีริ้วรอยง่าย ผิวแก่เร็ว
- แสงแดดและมลภาวะ : แสงแดดและมลภาวะ คือสาเหตุหลักที่ทำให้หน้าโทรม ผิวคล้ำเสีย มีฝ้า กระ จุดด่างดำ เนื่องจากเวลาที่เราโดนแดด เม็ดสีเมลานินจะทำงานเพื่อกรองรังสียูวีที่มากระทบผิว ซึ่งตัวการหลักที่ก่อให้เกิดฝ้า คือรังสียูวีเอที่มีช่วงคลื่นที่ยาวกว่ารังสียูวีบี สามารถทำลายผิวได้ลึกกว่า ทำให้เกิดจุดสีเข้มขึ้นบนใบหน้า ทำให้หน้าโทรม สีผิวไม่สม่ำเสมอครับ
- ดื่มน้ำน้อย : หากเราดื่มน้ำน้อย ไม่เพียงพอต่อร่างกายจะส่งผลให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น ไม่เปล่งปลั่งไม่มีความยืดหยุ่น ปากแห้ง ตาแห้ง นอกจากนี้ยังทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้ง่าย, ไตทำงานหนักขึ้น เสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม เนื่องจากน้ำในร่างกายไม่เพียงพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่สมอง
- การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ : การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ มีผลทำให้ผิวเหี่ยว ดูโทรม หน้าแก่กว่าวัย เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ และสารนิโคตินในบุหรี่ส่งผลต่อน้ำหล่อเลี้ยงในผิว ทำลายคอลลาเจน มีการผลิตสารอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวแห้งเหี่ยวเกิดริ้วรอยได้ง่าย
วิธีแก้หน้าโทรม ทำให้หน้าใส
ปัจจุบันมีหลายวิธีที่ช่วยปัญหาผิวหน้าโทรม ให้กลับมาสดใส ที่นิยมคือวิธีทางการแพทย์หรือการทำหัตถการต่าง ๆ เพราะเห็นผลแบบเร่งด่วนและมีความปลอดภัย เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน
1. ฉีดเมโสหน้าใส แก้ปัญหาหน้าโทรม เผยผิวกระจ่างใส ดูสุขภาพดี
การฉีดเมโสหน้าใส คือการแก้ปัญหาหน้าโทรมด้วยการฉีดสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวพรรณ เช่น แร่ธาตุต่าง ๆ และกรดอะมิโน เข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เป็นวิธีที่เห็นผลไวกว่าการทาครีม ตัวยามีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว, ลดโอกาสการเกิดริ้วรอยใหม่บนใบหน้า ทำให้ผิวแข็งแรง และช่วยปรับให้ผิวหน้าขาว กระจ่างใส
การฉีดเมโสหน้าใส เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้ง หน้าโทรม ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง และอยากผิวใส ผิวขาวขึ้น สุขภาพดีขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้เวลานาน ทั้งนี้ก่อนฉีดเมโสหน้าใส ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ประเมินสภาพผิว แนะนำปริมาณยา สูตรยา และยี่ห้อที่เหมาะสมครับ
หลังฉีดเมโสหน้าใสจะเห็นผลทันทีตั้งแต่ครั้งแรก โดยหลังจากฉีดประมาณ 3 วัน ก็จะเริ่มเห็นผลว่าผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น ดูสุขภาพดีขึ้น หากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หมอจะแนะนำให้ฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ในเดือนแรก และหลังจากนั้นฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์เพื่อคงสภาพผิวไว้ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร ? เลือกเมโสหน้าใสสูตรไหน หน้าใสเร็วกว่าการทาครีม ?
2. ฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาหน้าโทรม ปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ดูอิ่มน้ำ
การฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาหน้าโทรม คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด ( Hyaluronic Acid ) เข้าไปใต้ผิวหนัง ด้วยฟิลเลอร์มีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำ เมื่อฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว ผิวจะกักเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ หน้าเด้ง ผิวดูสุขภาพดีขึ้นครับ
การฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ดูไม่สดใส หน้าโทรม มีรูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว ต้องการปรับใบหน้าให้เรียบเนียน หรือหากใครต้องการเน้นตำแหน่งไหนเป็นพิเศษ ก็สามารถฉีดได้เช่นกันครับ เช่น ฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนของผิว แก้ไขริ้วรอยเส้นเล็ก ๆเช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ริ้วรอยหน้าผาก
หลังฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว คนไข้จะสังเกตได้ว่าผิวดูเรียบเนียนและอิ่มเอิบขึ้นทันทีหลังฉีด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์และการดูแลตัวเองหลังฉีดครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เติมความชุ่มชื้น บำรุงผิวเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีแบบเร่งด่วน
3. ฉีดโบท็อก แก้ปัญหาหน้าโทรม ลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย
การฉีดโบท็อก แก้ปัญหาหน้าโทรม คือ การฉีดสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) เข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อ ตัวยาจะออกฤทธิ์จับกับปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นอัมพาตชั่วคราว จึงช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าโทรม ดูอ่อนเยาว์มากขึ้นครับ
หลังฉีดโบท็อกผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อกที่ฉีด ตำแหน่งที่ฉีด ความลึกของริ้วรอยเหี่ยวย่น และปริมาณกล้ามเนื้อ หากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น จะต้องมีการฉีดซ้ำต่อเนื่องตามระยะเวลา เพื่อให้โบท็อกคงสภาพและจะช่วยทำให้การฉีดโบท็อกครั้งต่อไปอยู่ได้นานกว่าเดิมครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : โบท็อก (botox) คืออะไร อันตรายไหม ฉีดจุดไหนช่วยอะไรบ้าง เห็นผลทันทีไหม?
4. Hifu แก้ปัญหาหน้าโทรม กระตุ้นคอลลาเจน ลงลึกทุกชั้นผิว
การทำ Hifu แก้ปัญหาหน้าโทรม คือ การยกกระชับผิวด้วยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งลงไปในชั้นผิวหนัง SMAS ทำให้ชั้นไขมันและชั้น SMAS เกิดการหดตัวเสมือนเป็นการดึงหน้า จุดเด่นของ hifu คือ ช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้ายืดหยุ่นมากขึ้น จึงช่วยลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ผิวเนียนนุ่มขึ้น หน้าเรียบเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังทำ hifu จะเห็นผลทันทีประมาณ 20% หลังจากนั้น 3-4 เดือน จะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ ทำ Hifu 1 ครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 5-6 เดือน แต่สำหรับเคสที่สนใจทำซ้ำอีกเพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ชัดเจนขึ้น สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก ๆ 3 เดือน ยิ่งทำยิ่งได้ผลลัพธ์ดีขึ้นครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : Hifu คืออะไร ? คลายข้อสงสัยเกี่ยวกับไฮฟู ทำไมหลายคนประทับใจจนต้องบอกต่อ
5. Ulthera แก้ปัญหาหน้าโทรม ดึง ยก กระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
การทำ Ulthera แก้ปัญหาหน้าโทรม คือการใช้พลังงานที่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (High Intensity Focused Ultrasound) ยิงส่งไปยังใต้ผิว เพื่อให้เกิดความร้อน 60-70°C ลงลึกถึงใต้ผิวหนัง ตัวเครื่อง Ulthera จะมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปจนถึงชั้น SMAS ที่เป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สามารถดึงหน้าและยกกระชับผิวบริเวณผิวหน้าและคอ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เสียเวลาในการพักฟื้น
หลังทำ Ulthera จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีประมาณ 30% จากนั้นผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามคอลลาเจนใหม่ที่สร้างขึ้นมา ผิวจะกระชับขึ้นใน 1-2 เดือน และเมื่อผ่านไป 2-3 เดือน จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ ผลลัพธ์หลังทำ Ulthera จะอยู่ได้นาน 1 ปี แต่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บ ถ้าคนไข้สามารถทนเจ็บไหวก็จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ดีขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น
อ่านบทความเพิ่มเติม : รวมคำตอบ! Ulthera คืออะไร ราคาเท่าไหร่ ยกกระชับลดริ้วรอย เห็นผลในกี่วัน !
6. Thermage แก้ปัญหาหน้าโทรม ปรับผิวเรียบเนียน ดูเต่งตึง
การทำ Thermage แก้ปัญหาหน้าโทรม คือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) ยิงลงไปในชั้นผิวหนัง โดยความร้อนจากก้อนพลังงานจะไปทำให้ผิวเกิดการหดตัว ปรับผิวให้ตึงกระชับมากขึ้น กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น เพิ่ม skin quality (ผิวเด็ก) ริ้วรอย และรูขุมขนเล็กลงครับ
หลังทำ Thermage ผิวกระชับขึ้นทันที 20% และค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 เดือน ร่างกายจะมีการสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวดูแข็งแรง กระชับและดูอ่อนกว่าวัย โดยผลลัพธ์จะเห็นชัดเจนในช่วงเดือนที่ 2-3 ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี หากต้องการให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น หมอแนะนำให้คนไข้ทำปีละ 1 ครั้ง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้เองด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพผิวและไขมันส่วนเกินที่กลับมาสะสม รวมถึงริ้วรอยและความหย่อนคล้อยครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : Thermage FLX คืออะไร? ราคาเท่าไหร่? ทำเทอร์มาจกี่ Shot ถึงเห็นผล 2022
7. PRP แก้ปัญหาหน้าโทรม ฟื้นฟูผิวด้วยเกร็ดเลือดตัวเอง
Platelet Rich Plasma (PRP)แก้ปัญหาหน้าโทรม คือ การฟื้นฟูผิวด้วยเกร็ดเลือดตัวเองโดยการนำเลือดประมาณ 15-20 CC ไปทำการปั่นแยกเกร็ดเลือดด้วยเครื่องเหวี่ยงสาร (Centrifuge) เพื่อแยกส่วนของเลือดและน้ำออกจากกันเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีเข้มข้นสูง หลังจากสกัดเสร็จแล้ว แพทย์จะนำมาฉีดบริเวณใบหน้าคล้าย ๆ การฉีดฟิลเลอร์ครับ
หลังทำ PRP จะมีผลข้างเคียงคือฟกช้ำ บวม แดง ซึ่งเป็นอาการปกติ สามารถหายได้เองใน 2-3 วัน และจะเห็นผลหลังทำ 2-4 สัปดาห์ หากคนไข้ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนใต้ผิวถูกสร้างและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ขึ้นใหม่
8. ทรีทเม้นท์ แก้ปัญหาหน้าโทรม ผลักวิตามินเติมความชุ่มชื้น ปรับผิวใส
การทำทรีทเม้นท์ แก้ปัญหาหน้าโทรม คือการกู้หน้าโทรม หน้าหมองคล้ำด้วยการผลักวิตามินเข้าสู่ผิวชั้น นอก เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต มีหลักการโดยการใช้กระแสไฟฟ้า (IONWAVE) ที่คลื่นความถี่ในการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผิวหนัง ไม่รู้สึกเจ็บ หรือระคายเคือง
การทำทรีทเม้นท์ผลักวิตามินเข้าสู่ผิวจะเหมาะสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย มีผิวแห้งกร้าน หน้าโทรม ต้องการเน้นเติมความชุ่มชื้น ปรับผิวใส กระชับรูขุมขน อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็มอีกด้วย
9. เลเซอร์ แก้ปัญหาหน้าโทรม กระตุ้นเซลล์ผิว เพิ่มความกระจ่างใส
การทำเลเซอร์หน้าใส คือ การแก้ปัญหาหน้าโทรมโดยการใช้เลเซอร์กลุ่มกำจัดเม็ดสีเมลานิน ที่นิยมเลยคือ เลเซอร์ ND-Yag , Fractional, Q-Switch, Dual Yellow Laser ที่เป็นการเลเซอร์เพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวดูใสขึ้น
การทำเลเซอร์หน้าใสเหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับสีผิวกระจ่างใสให้ดูสม่ำเสมอแบบเร่งด่วน ลดริ้วรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำสิว แต่ข้อเสียคือหลังทำเลเซอร์บางชนิดจะมีการตกสะเก็ด ผิวแห้งลอก หลังทำจะต้องพักฟื้น เลี่ยงแสงแดด ดูแลแผลที่ตกสะเก็ดอย่างน้อย 3 วัน ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการใช้หน้าเลย หรือคนที่ต้องออกงาน พบปะผู้คนแบบเร่งด่วน
10.มาสก์หน้า แก้ปัญหาหน้าโทรม กู้ผิวใส เติมความชุ่มชื้นในข้ามคืน
การมาสก์หน้า คือวิธีการแก้หน้าโทรมที่คนส่วนใหญ่มักจะถึงเป็นอันดับแรก ถึงแม้จะไม่ใช่วิธีทางการแพทย์ แต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่เห็นผลและได้รับความนิยมครับ เพราะสามารถหาซื้อแผ่นมาสก์หน้าได้ง่าย ราคาไม่แพง หมอแนะนำว่าควรเลือกซื้อสูตรที่ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอลล์เพื่อเลี่ยงอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้ ควรเน้นสูตรที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะเมื่อผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ใบหน้าก็จะดูฟู เต็มอิ่ม ดูสดชื่นไม่โทรมครับ
วิธีป้องกัน ไม่ให้หน้าโทรม มีอะไรบ้าง ?
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ การปูพื้นฐานให้ผิวดูสุขภาพดี ควรเริ่มจากการทาครีมกันแดดครับ เพราะแสงแดดคือตัวการทำร้ายผิวอันดับหนึ่ง ที่ทำให้หน้าดูโทรม มีริ้วรอย ดูแก่กว่าวัย ถึงแม้ว่าจะอยู่ในบ้านหรือออกนอกบ้าน การทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวแต่เนิ่น ๆ คือวิธีป้องกันไม่ให้หน้าโทรมที่ดีที่สุดครับ
- ทำความสะอาดผิวหน้าแบบ double clean การล้างหน้าก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำไม่ให้หน้าดูโทรม การล้างหน้าที่ถูกต้อง คือควรล้างหน้าแบบ double clean เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อาจจะตกค้าง จนทำให้เกิดการอุดตัน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีเม็ดบีทสครับจะยิ่งดีครับ เพราะจะไม่เป็นการทำร้ายผิวทางอ้อม
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยปกติแล้วร่างกายคนเราควรดื่มน้ำในแต่ละวัน8-12 แก้วต่อวัน หรือนับเป็น 1.5เท่าของแคลลอรี่ที่ได้รับทั้งหมด การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ผิวดูมีชีวิตชีวา ชุ่มชื้นขึ้น
สวมหน้ากากอนามัย ทำให้หน้าโทรมได้อย่างไร
การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ผิวขาดการไหลเวียนเลือด ขาดออกซิเจนได้ครับ ซึ่งภาวะผิวขาดออกซิเจนมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงจะมีแต่งหน้าใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมี และใส่หน้ากากอนามัยติดต่อกันหลายชั่วโมง มีการเสียดสีและบีบรัดบริเวณใบหน้า ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงคอลลาเจน อิลาสติน และความชุ่มชื้นใต้ผิวลดลงไปด้วย
สรุป
สำหรับใครที่ต้องการแก้ปัญหาหน้าโทรมแบบเร่งด่วน หมอแนะนำให้เลือกใช้วิธีทางการแพทย์หรือการทำหัตถการจะดีกว่าครับ เพราะเห็นผลไวกว่าวิธีอื่น ๆ ช่วยฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วนโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิว ทั้งควรเลือกทำหัตถการกับคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและคุ้มค่าครับ
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้ง 30 สาขา หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ