ฝ้า
ฝ้า สีผิวไม่สม่ำเสมอ มองเห็นเป็นปื้นหรือจุดสีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเข้ม สีเทาอมฟ้า ไปจนถึงสีดำ เมื่อกระจุกตัวรวมกันจะยิ่งมองเห็นได้ชัด ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา อาจเพิ่มจำนวนขึ้น และรักษาให้หายขาดยากขึ้นครับ แต่ด้วยวิธีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพ ลดฝ้าให้จางลง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและปลอดภัย
สาเหตุการเกิดฝ้า
ฝ้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้หน้าหมองคล้ำ หน้าโทรม และในบางเคสก็ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงสาเหตุเดียวครับ แพทย์จะต้องประเมินปัญหา วิเคราะห์ใบหน้า เพื่อหาสาเหตุการเกิดฝ้า ซึ่งเกิดได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- รังสีอัลตราไวโอเลต ทั้ง UVA และ UVB ที่มีอยู่ในแสงแดด จะกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสให้ผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น
- ฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ทำให้ผู้หญิงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย มักพบในช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ตั้งครรภ์ วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน
- พันธุกรรม คนที่เป็นฝ้าจะมียีนที่เอื้อต่อการเกิดฝ้าอยู่ในพันธุกรรม และมีผลทำให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยครั้ง
- อายุ ผู้หญิงที่มีอายุ 30-40 ปี เป็นช่วงอายุที่เกิดฝ้าได้ง่าย โดยจะพบในกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
- สีผิว คนที่ผิวเข้มมีโอกาสเป็นฝ้าง่ายกว่าคนผิวขาว
- เครื่องสำอางบางชนิด มีผลต่อการแพ้ และกระตุ้นเม็ดสีเมลานินบนผิวให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- ภาวะทุพโภชนาการ มักพบฝ้าในผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติ และผู้ที่ขาดวิตามินบี 12
ฝ้ามีกี่แบบ ? ลักษณะของฝ้า
ปัญหาฝ้ามีหลายแบบ ฝ้าแต่ละแบบจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งสี ระดับชั้นผิวที่เกิดฝ้า ซึ่งส่งผลต่อความยากง่ายในการรักษา
- ฝ้าตื้น มีลักษณะเป็นฝ้าสีน้ำตาล ขอบชัด จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอก
- ฝ้าลึก มีลักษณะเป็นฝ้าสีน้ำตาลอมฟ้า หรือสีน้ำตาลอมม่วง เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า ทำให้รักษาได้ยากกว่าฝ้าตื้น
- ฝ้าผสม คือ ฝ้าตื้นและฝ้าลึกรวมกัน มีลักษณะตรงกลางเป็นมีสีเข้มแสดงถึงฝ้าในชั้นหนังแท้ ส่วนขอบมักมีสีจางกว่าแสดงถึงฝ้าในหนังกำพร้า เกิดทั้งในระดับชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้รวมกัน
- ฝ้าแดด มีลักษณะเป็นฝ้าที่เป็นสีน้ำตาลคล้ำ หรืออมเทาม่วง โดยสีจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เกิดจากรังสียูวีที่มีจากแสงแดด รวมถึงแสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และหลอดไฟ
- ฝ้าเลือด มีลักษณะเป็นสีแดง หรือมีเส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นเยอะ เกิดจากเยื่อบุผนังเส้นเลือดผลิตฮอร์โมนออกมากระตุ้นการสร้างเม็ดสี บางครั้งเรียกฝ้าฮอร์โมน
- ฝ้าถาวร มีลักษณะเป็นฝ้าสีเทาอมฟ้า สีดำ เกิดจากการใช้ยาทาบางชนิด เช่น ยากลุ่มไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ซึ่งจัดเป็นยาควบคุม ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น แต่มีการลักลอบนำมาใส่เป็นส่วนประกอบของครีมหน้าขาว ครีมหน้าเด้ง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงเป็นฝ้าถาวรได้
วิธีการรักษาฝ้า
วิธีการรักษาฝ้ามีหลายวิธี ทั้งวิธีทางธรรมชาติ และวิธีทางการแพทย์ ขึ้นอยู่กับลักษณะฝ้าและระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล หากอยากเห็นผลเร่งด่วน แนะนำวิธีทางการแพทย์ครับ
สมุนไพรรักษาฝ้า
สมุนไพรรักษาฝ้ามีหลายชนิด เช่น ว่านหางจระเข้ หัวไชเท้า ใบบัวบก มะละกอ มะนาว หอมแดง ขมิ้น มะขามเปียก ใบกะเพรา การใช้สมุนไพรไทยรักษาฝ้า ถือเป็นวิธีการรักษาฝ้าตามธรรมชาติ มีความปลอดภัย ไม่ทิ้งสารตกค้าง ราคาไม่แพง เหมาะกับลักษณะฝ้า เช่น ฝ้าตื้น ฝ้าแดด แต่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลชัดเจน
นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับคนที่มีผิวบาง ผิวแพ้ง่ายครับ เพราะสมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์แสบร้อน เช่นหัวไชเท้า หรือเป็นกรดอ่อน ๆ มะนาว มะขามเปียก อาจเกิดการระคายเคืองผิวได้ หลังใช้ควรทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด
เวชสำอาง
เวชสำอางจัดเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณสมบัติเดียวกับเครื่องสำอาง มีความคล้ายยาแต่ไม่ใช่ยา เพราะไม่มีผลในการรักษาโรค แต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางลักษณะภายนอก เช่น ใช้แล้วสิว ฝ้า กระ ลดลง ผิวดูตื้นขึ้น รอยสิวดูจางลง นิยมใช้ส่วนประกอบสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ทำให้แพ้ แต่ก็ยังมีเวชสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน โฆษณาโอ้อวดเกินจริงให้เห็น โดยเฉพาะที่ซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงได้
รับประทานวิตามิน
วิตามิน A C และ E ช่วยลดฝ้าได้ เป็นการบำรุงผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวแข็งแรง สามารถทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้นและช่วยลดการเกิดฝ้าใหม่ได้ แต่ผลลัพธ์จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
- วิตามิน A ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ลดเลือนจุดด่างดำ และรอยฝ้าให้จางลง
- วิตามิน C ช่วยให้เม็ดสีเมลานินจางลง ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดริ้วรอยที่อาจเกิดขึ้นได้
- วิตามิน E ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ชะลอความเสื่อมและเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิว
ลอกผิว
ลอกผิวรักษาฝ้าด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เป็นการลอกหน้าด้วยสารเคมี น้ำยาลอกฝ้า เช่น กรดไกโคลลิก (Glycolic acid) กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) กรดไตรคลออะซีติค (Trichloroacetic Acid) หลังจากลอกหน้าจะช่วยการผลัดเซลล์ผิว แต่อาจทำให้ผิวหน้าบางและไวต่อแสง
ไม่ควรซื้อน้ำยาลอกผิวขาว เซรั่มลอกผิวขาวที่ขายทางอินเทอร์เน็ตมาทำเอง เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย จากส่วนผสมมีความเข้มข้นที่สูงเกินมาตรฐาน ทำให้เกิดผิวแห้ง แสบ และไหม้ได้ ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น
ยาทาผลัดเซลล์ผิว
เป็นการเร่งการผลัดเซลล์ผิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบของสกินแคร์ ซึ่งมีส่วนประกอบของกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids : AHA) หรือกรดผลไม้ ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ใช้ทาเป็นประจำบริเวณที่มีฝ้า จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออก แล้วสร้างเซลล์ผิวใหม่ คนที่มีผิวบางอาจทำให้เกิดการระคายเคือง แสบ แดง คันได้
ยารับประทานรักษาฝ้า
ไม่ควรซื้อยารักษาฝ้ามารับประทานเอง หากยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่มากพอครับ เพราะมีตัวยาบางตัวที่อ้างว่ารับประทานแล้วสามารถรักษาฝ้าได้ เช่น ตัวยา Tranexamic Acid ซึ่งจริง ๆ แล้วขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคเลือดไหลหยุดยาก หรือเลือดออกมากผิดปกติ
มีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดลิ่มเลือดในร่างกาย อุดตันเส้นเลือดต่าง ๆ ของอวัยวะสำคัญ หากอุดตันที่เส้นเลือดในสมอง จะทำให้เกิดอัมพาตหรือเสียชีวิต หากอุดตันที่ปอด จะทำให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิต หากอุดตันที่ตาหรือไต อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
นอกจากนี้ยังมีอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ เช่น อาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เลือดจาง ปวดหัว อ่อนเพลีย และไม่มีแรงได้ เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
ขัดผิวด้วยเกล็ดอัญมณี
เป็นการใช้เครื่องมือขัดผิวหนังชั้นกำพร้าให้หลุดออก โดยใช้เกล็ดอัญมณีขนาดเล็กประมาณ 100 ไมครอน เร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกกว่าการสครับผิวทั่วไป แต่ไม่ได้ลึกถึงขั้นทำเลเซอร์ วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวขึ้นใหม่ขึ้นทดแทน สามารถปรับระดับความตื้น-ลึกได้ตามสภาพผิว จำนวนครั้งที่ทำขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว ต้องทำหลายครั้งและทำต่อเนื่องจึงจะเห็นผลชัดเจน
เลเซอร์
การใช้เลเซอร์มีหลายแบบ (Fraxel, Erbium YAG, Q-switched) และ IPL (Intense Pulse Light) ยิงแล้วทำให้เม็ดสีกระจายตัวพร้อมกับผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ให้ผลรวดเร็วและจัดการกับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอได้ แต่เลเซอร์ยังไม่ใช่ทางเลือกแรกของการรักษาฝ้าในทางการแพทย์ เพราะผลของการรักษาจะทำให้ฝ้าจางลงเพียงชั่วคราวเท่านั้นหรืออาจไม่ได้ผลในบางราย
ฉีดเมโสหน้าใส
เมโสหน้าใส คือ ทางลัดในการดูแลผิว เป็นการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวที่ดูดซึมจากการทาได้ยาก มาทำให้สามารถฉีดเข้าในชั้นผิวได้โดยตรงและออกฤทธิ์ไวขึ้น ฉีดเมโสหน้าใส ผลข้างเคียงไม่มีครับ เพราะส่วนผสมต่าง ๆ เป็นวิตามินและสารบำรุง ฉีดเมโสหน้าใส อันตรายไหม ? กรณีที่เกิดผลข้างเคียง เกิดจากฉีดกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉีดกับหมอกระเป๋า หรือซื้อเมโสจากอินเทอร์เน็ตมาฉีดเอง
หลังฉีดเมโสหน้าใส บวมกี่วัน ? ในบางเคสอาจมีอาการบวมจากรอยเข็ม หายได้เองใน 1-3 วัน เริ่มเห็นผลว่าผิวใส ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีขึ้น ประมาณ 3 วันหลังฉีด เห็นผลชัดเจนใน 7-14 วัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลเร่งด่วน ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง และมีปัญหาผิว
ที่ V Square Clinic เมโสหน้าใสมีหลายยี่ห้อ เพื่อแก้ปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
- Made Collagen (มาเด้ คอลลาเจน) เน้นลดสิว ลดผื่น ฝ้า กระ ริ้วรอย จุดด่างดำ ขับสารพิษ
- Filorga / Revs เน้นผิวขาวใส ลดฝ้า เติมความชุ่มชื้น ช่วยบำรุงผิวแบบ Premium
- Neo Glutanex Glow เน้นผิวขาวอมชมพู ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ฝ้า กระ หลุมสิว กระชับรูขุมขน
- Tensonez เน้นผิวขาว ใส ลดฝ้า
- Alpha Arbutin เน้นลดฝ้าโดยตรง
หากอยากลดสิว ลดผื่น เมโสหน้าใสยี่ห้อที่ได้รับความนิยม คือ มาเด้ คอลลาเจน ฉีดมาเด้ คอลลาเจน อันตรายไหม ? ฉีดมาเด้ ที่ไหนดี ? ที่ V Square Clinic ใช้ตัวยาแท้ มีความปลอดภัย คนไข้สามารถขอดูตอนผสมได้ครับ โดยแจ้งที่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก่อนเข้าห้องฉีด และสามารถขอขวดตัวยากลับบ้านได้
ฉีดเมโสฝ้า
เมโสหน้าใสทุกยี่ห้อยังช่วยแก้ปัญหาฝ้า หรือที่เรียกว่า เมโสฝ้า สลายฝ้า สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาผิวหน้าก่อนว่าเหมาะกับตัวยาเมโสยี่ห้อไหน ? ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อความคุ้มค่า แก้ปัญหาได้ตรงจุด โดยเมโสแต่ละตัวจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้
Made Collagen
มาเด้ คือ ชื่อยี่ห้อยาฉีดของประเทศอิตาลี มีส่วนผสมของอาหารผิวที่สำคัญ อย่างวิตามินรวมที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว และชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนในผิว มีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการบำรุงผิวหน้า
ฉีดมาเด้คอลลาเจน เป็นการฉีดวิตามินผิว ที่มีจุดเด่นคือ ช่วยขับสารพิษที่ตกค้าง ลดผิวอักเสบ ผดผื่น สิว และช่วยทำให้หน้าขาวใสขึ้น โดยคนที่เหมาะกับการฉีดมาเด้ คือ คนที่สุขภาพผิวไม่ค่อยดี มีปัญหาสิวเรื้อรัง ผิวแพ้ง่าย มีฝ้าฮอร์โมน
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล ? ฉีดบ่อยแค่ไหน ?
Alpha arbutin
เป็นเมโสที่มีจุดเด่นที่เน้นแก้ไขปัญหาฝ้าโดยตรง ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานินหรือเม็ดสีผิวที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า ตัวยาจะแสบมาก แต่จะช่วยลดฝ้าได้ดี
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใสที่ไหนดี ? เลือกคลินิกอย่างไร ? ให้ปลอดภัย
วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดด SPF สูง ๆ ปกป้องผิว ป้องกันรังสี UVA และ UVB
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน การนอนน้อยทำให้ร่างกายมีเวลาฟื้นฟูผิวน้อยลง
- หมั่นบำรุงผิว เช่น ทาครีมบำรุง หรือฉีดเมโสหน้าใส ฉีดวิตามินผิว เติมวิตามินให้ผิวแข็งแรง
- หลีกเลี่ยงยาฮอร์โมน หรือยาเพิ่มฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์
- หลีกเลี่ยงความเครียด ซึ่งจะกระตุ้นฮอร์โมนให้ผลิตเม็ดสีเมลานินสะสมจนเกิดเป็นฝ้า
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ช่วยขจัดสิ่งสกปรกในร่างกายและขับสารเคมีต่าง ๆ ออกไป
- ใส่ใจกับระบบขับถ่าย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้
- งดสูบบุหรี่ ในควันบุหรี่มีสารที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำร้ายผิว ทำให้ผิวแห้ง หมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ครีมหน้าขาว เพราะอาจมีสารที่ทำให้เกิดฝ้า
เป็นฝ้าแบบไหนที่ต้องพบแพทย์
แม้ว่าฝ้าจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ส่งผลต่อความมั่นใจ กระทบต่อการใช้ชีวิต ถ้ารู้สึกว่ารอยฝ้ามองเห็นชัด ไม่อยากต้องใช้เครื่องสำอางปกปิด ควรพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา หรือป้องกันแต่เนิ่น ๆ ด้วยการดูแลและบำรุงผิวอย่างถูกวิธี เพื่อการมีผิวหน้าขาวใส ดูสุขภาพดี ช่วยเพิ่มความมั่นใจครับ
สรุป
ฝ้าเกิดได้หลายสาเหตุ ฝ้าแต่ละแบบมีลักษณะที่แตกต่างกันในคนไข้แต่ละรายครับ ปัจจุบันวิธีการรักษาฝ้ามีหลายวิธีที่เห็นผล ปลอดภัย เช่น ฉีดเมโสหน้าใส ฉีดเมโสฝ้า ฉีดวิตามินผิว ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ราคาไม่แพง ช่วยแก้ปัญหาฝ้า และปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิว หน้าโทรม ผิวหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี ชุ่มชื้น ดูอ่อนเยาว์
ที่ V Square Clinic มีหัตถการและเครื่องมือทันสมัย สามารถปรึกษาออนไลน์ ส่งรูปหน้ามาให้หมอประเมินก่อนได้ในเบื้องต้น เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม แก้ปัญหาตรงจุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีครับ
อ้างอิง :
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. (2021). อันตรายกว่าที่คิด ยากินรักษาฝ้า, สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 2562. จาก https://oryor.com/อย/detail/media_printing/1989
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้ง 30 สาขา หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ