สิวอักเสบ
สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวหน้าที่ทั้งน่ารำคาญและส่งผลต่อความมั่นใจ ไม่เพียงแต่ปัญหาการอักเสบที่ทำให้รู้สึกไม่สบายผิวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหารอยแผลเป็นที่ตามมาซึ่งทำให้หลายคนกังวลด้วยครับ
การรู้วิธีรักษาสิวอักเสบอย่างถูกต้อง และการเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดสิว เป็นกุญแจสำคัญในการดูแลผิวให้สุขภาพดีและป้องกันปัญหาสิวในระยะยาว ในบทความนี้หมอจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาสิวที่เหมาะสม และวิธีป้องกันสิวอักเสบ เพื่อให้สามารถมีผิวหน้าที่เรียบเนียน สดใส ไร้ปัญหาสิวอักเสบอย่างยั่งยืน
สารบัญ สิวอักเสบ
ลักษณะของสิวอักเสบ
สิวอักเสบจะมีลักษณะโดดเด่น ที่แตกต่างจากสิวทั่วไป ดังนี้
- มีการอักเสบและบวมแดง สิวอักเสบมักแสดงอาการบวมแดงและมีความรู้สึกเจ็บหรือแสบร้อนที่บริเวณที่เกิดสิว
- มีหัวสิวหรือหนอง ในบางกรณีสิวอักเสบอาจมีหัวหนองที่ปลาย ซึ่งเป็นการสะสมของหนองและเซลล์ตาย
- สัมผัสแล้วเจ็บ สิวอักเสบมักมีความรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสหรือกดเบา ๆ
- ขนาดใหญ่กว่าสิวปกติ สิวอักเสบมักมีขนาดที่ใหญ่กว่าสิวธรรมดา และอาจมีลักษณะบวมชัดเจน
ลักษณะเหล่านี้ทำให้สิวอักเสบสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย และต้องการการดูแลรักษาที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งรอยแผลเป็นหรือปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจตามมาได้ครับ นอกจากนี้สิวอักเสบยังมีชื่อเรียกต่าง ๆ ตามลักษณะภายนอก เช่น
- สิวอักเสบมีตุ่มนูนแดง (Papule)
- สิวอักเสบหัวหนอง (Pustule)
- สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก (Nodule)
- สิวเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง (Acne Cyst)
- สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)
นอกจากสิวอีกเสบมีสิวแบบไหนอีกบ้าง ?
นอกจากสิวอักเสบแล้ว ยังมีสิวหลายประเภทที่สามารถเกิดขึ้นบนผิวหนัง แต่ละประเภทมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน
- สิวเสี้ยน (Blackheads) : เป็นสิวที่เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งโผล่ออกมาที่ผิวหน้า ทำให้เกิดจุดดำ
- สิวหัวขาว (Whiteheads) : คล้ายกับสิวเสี้ยน แต่เป็นสิวที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นจุดขาว
- สิวอุดตัน : สิวประเภทนี้เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันและไม่มีการอักเสบ มักเกิดเป็นกลุ่มบนผิวหน้า
- สิวประเภทอุดตันอักเสบ (Nodular) : เป็นสิวที่เริ่มจากรูขุมขนที่อุดตันแล้วพัฒนาเป็นการอักเสบ มีลักษณะเป็นบวมแดงและอาจมีหนอง
- สิวหัวหนอง (Pustules) : เหมือนกับสิวประเภทอุดตันอักเสบ แต่มีหัวหนองที่ชัดเจนมากขึ้น
- สิวซีสต์ (Cystic Acne) : เป็นสิวที่ลึกและใหญ่ มักเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและอาจทิ้งรอยแผลเป็น
การรู้จักและเข้าใจประเภทของสิวที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลครับ
สิวอักเสบเกิดจากอะไร ?
สิวอักเสบเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนในผิวหนังถูกอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว บางครั้งเชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังอาจเข้าไปและทำให้เกิดการอักเสบ นำไปสู่สิวที่มีลักษณะแดงและบวม โดยสาเหตุมักมาจาก
- การอุดตันของรูขุมขน : น้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายสะสมอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดสิว
- การผลิตน้ำมันมากเกินไป : ต่อมน้ำมันในผิวหนังผลิตน้ำมันมากเกินปกติ ส่งผลให้เกิดสิว
- แบคทีเรีย : แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า P. acnes สามารถเจริญเติบโตในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบ
- การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่น, การตั้งครรภ์, หรือการใช้ยาคุมกำเนิด สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและเกิดสิว
- ความเครียด : ความเครียดสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนัง
- การระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์บางชนิด : การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว อาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้
สิวอักเสบเกิดที่ไหนได้บ้าง ?
- ใบหน้า เป็นที่ที่พบสิวอักเสบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะบริเวณทีโซน (หน้าผาก, จมูก, และคาง) ซึ่งมีต่อมน้ำมันมาก
- หลัง สิวที่เกิดบนหลังมักจะเป็นสิวที่ใหญ่และอักเสบ สาเหตุหลักมาจากการหลั่งของน้ำมันและการเสียดสีของเสื้อผ้า
- อก พื้นที่นี้มักมีการระคายเคืองจากเสื้อผ้าและเหงื่อ ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
- ไหล่และแขนบน ถึงแม้จะได้เกิดสิวอักเสบบ่อยเท่าพื้นที่อื่น ๆ แต่สิวอักเสบก็สามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น
- บริเวณลำคอและใต้ศีรษะ บริเวณนี้อาจพบได้ไม่บ่อย แต่สิวอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการเสียดสีของเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์เสริมที่สวมใส่
เป็นสิวอักเสบรักษาอย่างไร ?
วิธีรักษาสิวอักเสบด้วยยา
มีทั้งแบบยาทา ยาทาน และยาฉีด ที่จะช่วยลดอาการอักเสบของสิว ฆ่าแบคทีเรีย ลดความเจ็บปวดแล้วช่วยให้สิวยุบลง
- เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) : ยานี้ช่วยฆ่าแบคทีเรียและลดการอักเสบ มักใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบระดับเบาถึงปานกลาง
- รีตินอยด์ (Retinoids) : รีตินอยด์ เช่น เทรติโนอิน และอะดาพาลีน, ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและลดการอักเสบ
- แอนติไบโอติก : แอนติไบโอติกทางปาก เช่น โดกซีไซคลิน หรือ มิโนไซคลิน, อาจถูกสั่งใช้เพื่อรักษาสิวอักเสบที่รุนแรงหรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ
- กรดอะซีลิก (Azelaic Acid) : กรดอะซีลิกช่วยลดการอักเสบและมีคุณสมบัติในการต่อต้านแบคทีเรีย
- สปิโรโนแลคโตน (Spironolactone) : สำหรับผู้หญิง สปิโรโนแลคโตนอาจช่วยในการควบคุมการผลิตน้ำมันของผิว โดยลดผลของฮอร์โมนแอนโดรเจน
- ฮอร์โมนบำบัด : การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนที่เหมาะสมสามารถช่วยลดการเกิดสิวในผู้หญิง
*ทั้งนี้การใช้ยาเพื่อรักษาสิวอักเสบควรอยู่ในความดูแลของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญครับ
วิธีรักษาสิวอักเสบด้วยแสงและเลเซอร์
การรักษาสิวอักเสบด้วยแสงและเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่ทันสมัยและได้รับความนิยมครับ วิธีนี้ใช้พลังงานแสงเพื่อจัดการกับสิวอักเสบและลดปัญหาผิวที่เกี่ยวข้อง เทคนิคนี้ใช้แสงเฉพาะทางเพื่อลดการอักเสบและฆ่าแบคทีเรียในรูขุมขน เช่น
- การใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ : การรักษานี้ใช้แสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะทางเพื่อทำลายแบคทีเรีย P. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวอักเสบ แสงเหล่านี้ยังช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- การใช้เลเซอร์ : เลเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูงสามารถใช้เพื่อลดการอักเสบของสิวและส่งเสริมการซ่อมแซมผิวหนัง และบางประเภทของเลเซอร์ยังสามารถช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวหนังได้
- การรักษาด้วยแสงพัลซ์ไดออด (Pulsed Dye Laser) : วิธีนี้ใช้เลเซอร์เพื่อลดอาการอักเสบและช่วยให้รอยแดงจากสิวลดลง
- การรักษาด้วยแสงอินฟราเรด : แสงอินฟราเรดสามารถใช้เพื่อลดการอักเสบและลดขนาดของต่อมน้ำมันในผิวหนัง
*การรักษาด้วยแสงและเลเซอร์ต้องทำภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
และอาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
วิธีรักษาสิวอักเสบแบบเร่งด่วน
วิธีรักษาสิวอักเสบแบบเร่งด่วน สามารถทำได้ด้วยการฉีดยาใต้ผิวหนัง สำหรับสิวที่อักเสบรุนแรง แพทย์อาจเลือกใช้วิธีการฉีดสเตียรอยด์ในปริมาณที่เหมาะสม เข้าไปในบริเวณสิวเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็วครับ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสิวอักเสบรุนแรง แนะนำให้รักษาด้วยวิธีการปกติ หายได้เหมือนกันครับ
วิธีรักษาสิวอักเสบไม่ให้มีรอยแผลเป็น
- การรักษาสิวอักเสบอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการอักเสบและรอยแผลเป็นได้ ใช้ยาและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทของสิว
- การใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของรีตินอยด์หรือกรดอะซีลิก สารเหล่านี้ช่วยในการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดการเกิดรอยแผลเป็น
- การป้องกันผิวจากแสงแดด แสงแดดสามารถทำให้รอยแผลเป็นและจุดด่างดำเป็นสีเข้มมากขึ้น การใช้ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันผิว
- การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน การทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ระคายเคืองช่วยให้ผิวไม่เกิดการอักเสบ
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่มีวิตามิน C, E และสังกะสีช่วยในการซ่อมแซมและบำรุงผิวหนัง
- การรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสง ในกรณีที่มีรอยแผลเป็นจากสิวอักเสบ การรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสงอาจช่วยลดรอยแผลเป็นและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนได้
วิธีป้องกันการเกิดสิวอักเสบ
การป้องกันสิวเป็นเรื่องของการดูแลผิวอย่างถูกต้องและการมีไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพครับ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ : อาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาลมากอาจทำให้เกิดสิวได้ง่าย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ : ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- การนอนหลับที่เพียงพอ : ช่วยให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ลดความมัน ลดการเกิดสิว
- เสริมวิตามินและแร่ธาตุ : การฉีดวิตามินให้ผิวหนัง สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวจากภายใน วิตามินที่มีประโยชน์ในการป้องกันสิวอาจรวมถึงวิตามิน A, C และ E รวมถึงแร่ธาตุเช่นสังกะสี
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน : วิตามิน C เป็นที่รู้จักในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งสามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและลดการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้
การฉีดมาเด้คอลลาเจน (made collagen), เมโสหน้าใส สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิว ขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดผิวอักเสบและลดผื่นแพ้ ลดสิวได้ โดยจะมีส่วนประกอบของสารบำรุง เช่น Vitamin A, B, C, E Transamin, Glutatione ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 1 ครั้ง1 ต่อสัปดาห์ โดยฉีดติดต่อกันฉีด 5 ครั้ง ขึ้นไป จะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
วิธีการปฏิบัติถ้าเป็นสิวอักเสบ ?
- การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนกับผิว และเหมาะกับผิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสิวอักเสบ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ หรือกรดซาลิไซลิค
- หลีกเลี่ยงการแตะหน้าบ่อย ๆ มือของเรามักจะเต็มไปด้วยแบคทีเรียที่สามารถทำให้สิวแย่ลง
- หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว การบีบหรือแกะสิวสามารถทำให้การอักเสบและสถานการณ์แย่ลง และยังเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็น
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งเกินไป เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งมากเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้สิวอักเสบแย่ลง
- ใช้ครีมหรือเจลลดการอักเสบ ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของไฮโดรคอร์ติโซนอาจช่วยลดอาการอักเสบของสิว
สรุป
การรักษาสิวอักเสบให้หายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น สามารถทำได้โดยการใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมและการเสริมด้วยวิตามินผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบ และส่งเสริมการซ่อมแซมผิวก็เป็นสิ่งสำคัญครับ เช่น วิตามินเช่นวิตามิน A, C และ E ที่มีบทบาทในการซ่อมแซมผิวหนัง ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น การบำรุงด้วยวิตามินเหล่านี้ ทั้งการทานและการฉีดผิวโดยตรง สามารถช่วยให้ผิวหน้าสดใส แข็งแรง และลดโอกาสของการเกิดสิวในอนาคตได้
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง Inbox Facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ