ไขมันช่องท้อง
ไขมันช่องท้อง คือไขมันที่สะสมและแทรกซึมอยู่บริเวณอวัยวะต่าง ๆ ถือเป็นไขมันที่อันตรายและไม่ควรมองข้ามครับ ปัจจุบันพบว่ามีอัตราคนไข้ที่เกิดภาวะไขมันในช่องท้องมากขึ้น ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง รวมไปถึงในกลุ่มวัยรุ่น ถึงวัยกลางคน เพราะส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป ของหวาน ชานมไข่มุก อีกทั้งยังขาดการออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง จึงนำไปสู่ไขมันสะสมในช่องท้อง ทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคภัยอื่น ๆ ตามมาครับ
ไขมันช่องท้อง คืออะไร ? เกิดจากสาเหตุใด ? อันตรายไหม ? วัดค่าไขมันในช่องท้อง ได้อย่างไร ? มีวิธีลดและป้องกันการเกิดไขมันในช่องท้องได้อย่างไร ? ติดตามอ่านได้ครับ
ไขมันช่องท้อง (visceral fat) คืออะไร
ไขมันช่องท้อง (visceral fat) คือ ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายที่เกิดจากร่างกายเผาผลาญไม่หมด ไขมันชนิดนี้จะอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อ โดยจะสะสมอยู่ตามอวัยวะภายใน เช่น ตับ ลำไส้เล็ก กระเพาะอาหาร รวมไปถึงแทรกซึมอยู่ตามกล้ามเนื้อหน้าท้อง แต่ที่พบได้บ่อยคือตับครับ เพราะไขมันชนิดนี้จะอยู่ใกล้ตับมากที่สุด และหากมีการสะสมของไขมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะมีความแข็งตัวมากขึ้นจนดันให้หน้าท้องป่องและยื่นออกมา หรือที่เราเรียกกันว่าภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในคนผอมและคนที่มีน้ำหนักเกิน
ไขมันช่องท้องสาเหตุเกิดจากอะไร ?
- ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการรับประทานอาหาร
ไขมันในช่องท้อง ที่เกิดจากการรับประทานอาหารถือเป็นสาเหตุหลักครับ เมื่อเรารับประทานอาหารมากเกินจำนวนพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล จะทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมด จนถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นไขมัน เกิดการสะสมและแทรกซึมอยู่บริเวณอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดภาวะท้องยื่น ท้องป่อง อ้วนลงพุงตามมา
- ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการไม่ออกกำลังกาย
คนที่ไม่ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายน้อยเกินไป มีโอกาสที่จะเกิดไขมันสะสมได้ง่ายกว่าคนปกติ เพราะใช้พลังงานน้อย ร่างกายเผาผลาญไขมันไม่หมด ถึงแม้ว่าจะรับประทานอาหารที่ไม่ได้มีไขมันสูง หรือคนผอมแต่ก็ทำให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้องได้ครับ
วิธีวัดค่าไขมันในช่องท้อง เบื้องต้นสามารถวัดได้ด้วยตัวเองได้ครับ เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement โดยการใช้สายวัดสัดส่วน เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ
วิธีวัดค่าไขมันในช่องท้อง
- วัดรอบเอว โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
- วัดรอบสะโพก โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
- นำตัวเลขรอบเอว มาหารด้วยตัวเลขรอบสะโพก จะได้ทศนิยม 2 หลัก
สำหรับไขมันในช่องท้องค่าปกติ ของผู้หญิงและผู้ชายจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ
- ผู้หญิง ที่ได้ค่ามากกว่า 0.80 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
- ผู้ชาย ที่ได้ค่ามากกว่า 0.95 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
ไขมันช่องท้อง อันตรายไหม ?
ไขมันช่องท้อง เป็นชั้นไขมันที่ลดได้ยากและอันตรายที่สุดครับ เพราะไขมันชนิดนี้สามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือด และไปสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดตีบ และยังทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคภัยอื่น ๆ ตามมา หมอจะยกตัวอย่างโรคเรื้อรังที่เกิดจากไขมันในช่องท้อง ดังนี้ครับ
- ภาวะไขมันพอกตับ เกิดจากการสะสมของไขมันที่อยู่เซลล์ตับ (Triglyceride) เนื่องจากได้รับปริมาณน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกายจนตับนำไปสร้างเป็นไขมัน (Lipogenesis)
- ไขมันในเลือดสูง เกิดจากร่างกายมีไขมันในเลือดมากกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการรับประทานอาหารที่มีไขมัน เช่น กะทิ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันมาก อาหารทอด น้ำตาลเกินความจำเป็นของร่างกายใน 1 วัน
- ความดันโลหิตสูง เกิดจากร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
- โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากไขมันไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอจนสมองฝ่อ
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เป็นภาาวะที่มีการหายใจผิดปกติ อันเนื่องมาจากไขมันไปขัดขวางการขยายตัวของปอด
- โรคหัวใจ มีภาวะหัวใจทำงานหนัก เนื่องมาจากไขมันไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจและมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- โรคเบาหวาน ประเภท 2 เป็นภาวะที่ดื้ออินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินมาใช้ได้ตามปกติ ซึ่งกระตุ้นให้เสี่ยงเป็นเบาหวานได้
- โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานผิดปกติ เนื่องจากไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด
ลดไขมันในช่องท้องได้อย่างไรบ้าง ?
ไขมันในช่องท้องเป็นชั้นไขมันที่ลดได้ยาก และต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลครับ แต่ก็ใช่ว่าจะลดไม่ได้เลย หลัก ๆ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้
- ควบคุมอาหาร ลดอาหารที่มีไขมันสูง โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ เน้นอาหารหมู่โปรตีน และไฟเบอร์ เพราะร่างกายดูดซึมง่ายและสามารถเอาไปใช้ในกระบวนการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ
- ออกกำลังกายให้ครบทุกสัดส่วน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและการทำงานของปอดให้ทำงานดีขึ้น โดยอาจเริ่มจากการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเบา ๆ เพราะจะได้ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง และช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ แต่ควรทำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 3-4 วัน/สัปดาห์ เช่น วิ่ง เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก และทำต่อเนื่อง 30-50 นาที หรือ 1 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย การดื่มน้ำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการไหลเวียนโลหิต อวัยวะตับและไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ล มีส่วนให้ร่างกายสะสมพลังงานไว้ในรูปแบบของไขมัน และทำให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานลดลง ส่งผลให้อ้วนและลงพุงง่ายขึ้น
- หลีกเลี่ยงความเครียด จากงานวิจัยพบว่าหากร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนเครียด หรือคอร์ติซอล จะส่งผลให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันมากขึ้น เพราะหากร่างกายหลั่งฮอร์โมน Cortisol มากเกินไป จะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลและอินซูลินในเลือด ทำให้รู้สึกอยากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาลมากกว่าปกติ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอขณะนอนร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้สมองระงับความอยากอาหาร กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานขณะนอนหลับ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Ghrelin ทำให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อเอาพลังงานมาใช้ ดังนั้นควรนอนให้เพียงพอเฉลี่ยอยู่ที่ 7-8 ชั่วโมง/วัน เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้อยู่ในระดับปกติ
- ตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพประจำปีหรือการบันทึกการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะช่วยประเมินความเสี่ยงว่ามีภาวะไขมันในช่องท้องหรือไม่ หากสงสัยว่าตัวเองเข้าข่ายภาวะไขมันช่องท้อง แพทย์จะช่วยวางแผนการรักษาและหาวิธีป้องกันอย่างเหมาะสม
การลดไขมันในช่องท้องให้ได้ผลดีและยั่งยืน ควรเริ่มจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่หมอได้แนะนำไว้ในข้อข้างต้นครับ ทั้งนี้การลดไขมันจะต้องใช้ระยะเวลาและต้องทำอย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
สำหรับใครพยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่ยังมีไขมันส่วนเกินบางจุดที่ลดไม่ลง ลดไขมันได้ยาก หมอมีวิธีลดไขมันมาแนะนำครับ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวิธีที่ช่วยลดไขมันในช่องท้องได้โดยตรง แต่จะช่วยลดไขมันในชั้นใต้ผิวหนังได้อย่างเห็นผล ทำให้รูปร่างดูสมส่วนยิ่งขึ้น กระชับขึ้น คนไข้สามารถติดตามอ่านได้ในหัวข้อถัดไปครับ
วิธีลดไขมันในช่องท้อง เร่งด่วน
1. Coolsculpting ลดไขมัน
Coolsculpting คือ เทคโนโลยีที่ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็น -11°C โดยเครื่อง จะส่งความเย็นในระดับจุดเยือกแข็งลงไปใต้ชั้นผิวหนัง (Coolsculpting จะกำจัดเฉพาะเซลล์ไขมันในชั้นใต้ผิวหนังเท่านั้น ไม่มีผลต่อไขมันในช่องท้อง) โดยใช้หัวดูดผิวดึงชั้นไขมันเข้ามาไว้ในหัวของเครื่อง เหมือนการหยิกไขมันส่วนเกินขึ้นมา จากนั้นในหัวดูดจะปล่อยความเย็น -11°C แช่แข็งก้อนไขมันที่ถูกดูดขึ้นมานาน 35 นาทีทำให้ไขมันตายและถูกขับออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ ทำให้รูปร่างกระชับ ได้สัดส่วนมากขึ้น
Coolsculpting ทำบริเวณไหนได้บ้าง ?
- หน้าท้อง
- สะโพก
- เอว (ห่วงยาง)
- ต้นแขน
- ต้นขา
- เหนียง
- น่อง
จากงานวิจัยทางการแพทย์ประมาณ 70งานวิจัย ยืนยันว่า CoolSculpting สามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันในชั้นผิวหนังบริเวณที่ทำให้ตายลงแบบถาวร โดยสามารถลดเซลล์ไขมันลงได้ 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง และสามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์มากขึ้นครับ
ที่ V Square Clinic ดูแลโดยแพทย์และ Specialist สำหรับทำ Coolsculpting โดยเฉพาะ และมีเทคนิคพิเศษที่ช่วยให้อาการบวมหลังทำหายไวกว่าปกติ คนไข้สามารถติดตามรีวิวได้จาก Coolsculpting รีวิว ลดไขมันส่วนเกินหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา แบบถาวรโดยไม่เจ็บตัว
อ่านบทความเพิ่มเติม : Coolsculpting ไม่ได้ผล เกิดจากอะไร ? กำจัดไขมันอย่างไรให้เห็นผล
2. ฉีดเมโสแฟต สลายไขมัน
การฉีดเมโสแฟต คือการฉีดตัวยาที่สกัดมาจากธรรมชาติ เพื่อช่วยสลายไขมันแบบเฉพาะจุด ลดและกระชับสัดส่วนบริเวณหน้าท้องได้ แต่จะมีผลต่อไขมันในชั้นใต้ผิวหนังเท่านั้น ช่วยให้หุ่นเข้าที่เร็วขึ้น ตัวยาจะลดและสลายไขมันลงในชั้นไขมัน โดยจะไปกระตุ้นระบบการทำงานของ metabolism ซึ่งเป็นกลไกการเร่งการสลายไขมันตามธรรมชาติของร่างกาย และ L-carnitine ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น เปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน (fat burn) จึงช่วยสลายไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์ที่สะสมในชั้นไขมันได้อย่างตรงจุด
เมโสแฟต ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ?
ฉีดเมโสแฟตเห็นผลชัดเจนใน 2-3 สัปดาห์ โดยไขมันจะสลายตัว 10-15% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยจะเริ่มยุบลงภายใน 5-7 วัน หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดเมโสแฟตและปริมาณไขมันของแต่ละคน ถ้าอยากให้เห็นผลเร็วขึ้นหมอแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะไขมันที่สลายจะถูกขับออกทางปัสสาวะและการหายใจ การดื่มน้ำจะช่วยให้ไขมันถูกขับออกจากร่างกายได้มากขึ้น
อ่านบทความเพิ่มเติม : หลังฉีดแฟตสลายไขมันแก้ม เหนียง ต้นแขน หน้าท้อง ต้นขา ข้อห้าม-ข้อปฏิบัติที่ควรรู้
วิธีป้องกันไขมันในช่องท้อง
วิธีป้องกันไขมันในช่องท้องแบบเห็นผลและยั่งยืน ควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามที่หมอได้แนะนำไปในข้างต้นครับ คือควบคุมอาหารโดยลดอาหารที่มีไขมันสูง ลดแป้ง น้ำตาลควบคู่ไปกับ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงควรตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อประเมินความเสี่ยงว่ามีภาวะไขมันในช่องท้องหรือไม่ เพื่อแพทย์จะช่วยวางแผนการรักษาและหาวิธีป้องกันอย่างเหมาะสมครับ
สรุป
ไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันสะสมที่ลดได้ยาก เพราะเกาะอยู่ใต้อวัยวะภายในและกล้ามเนื้อหน้าท้อง และหากมีไขมันในส่วนนี้สะสมมากขึ้น ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ในเบื้องต้นคนไข้ควรหันมาใส่ใจสุขภาพไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อรักษาทั้งสุขภาพและรูปร่างของตัวเองครับ
สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้ง 30 สาขา หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ